วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Wired Media

     สวัสดีครับ บทความในวันนี้ก็จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสายที่ใช้ในการเชื่อมต่อระบบ Network หรือเชื่อมต่ออุปกรณ์ Network ต่างๆ เข้าด้วยกัน ให้เชื่อมต่อและทำงานได้อย่างเป็นปกติๆ ซึ่งจะแนะนำคร่าวๆ เช่นเคย ^_^

*********************************************************************************

UNSHIELD TWISTED PAIR (UTP) หรือ สาย LAN




      ซึ่งถ้าจะแปปตรงตัวตามความหมายของมันก็คือ สายตีเกลียวที่ไม่มีตัวป้องกัน ซึ่งจะมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด คือ

          - COAXIAL CABLE คือ สายทองแดงที่นำมาใช้ในระบบ LAN ที่มีความเร็วที่ต่ำ MAXIMUM ของ SPEED จะอยู่ที่ 10Mbps ส่วนมากใช้ในระบบ BUS
          - UTP CAT5 คือ สายทองแดงตีเลียวที่ใช้ในระบบ LAN ที่มีความเร็วปานกลาง MAXIMUM ของ SPEED อยู่ที่ 100Mbps ใช้ในระบบ RING, STAR และแบบผสม
          - UTP CAT5e CABLE คือ สายทองแดงตีเกลี่ยวที่นำมาใช้ในระบบ LAN ที่มีความเร็วสูง MAXIMUM ของ SPEED อยู่ที่ 1Gbps
          - UTP CAT6 CABLE คือ สายทองแดงตีเกลียวที่นำมาใช้ในระบบ LAN ที่มี MAXIMUM ของ SPEED อยู่ที่ 10Gbps BANWIDTH อยู่ที่ 250MHz
          - UTP CAT7 CABLE คือ สายทองแดงตีเกลี่ยวที่นำมาใช้ในระบบ LAN ที่มีความเร็วสูง MAXIMUM ของ SPEED อยู่ที่ 10Gbps BANWIDTH อยู่ที่600 MHz

      ซึ่งสายทั้งหมดนี้สามารถนำมาใช้ในระบบ Network ได้ แต่ในปัจจุบันที่นิยมใช้และนำมาใช้กันมากที่สุดก็คือ สาย CAT5e และ CAT6 เพราะในประเทศไทยส่วนใหญ่ยังคงใช้ SWITCH ที่มีความเร็วอยู่ที่ 10/100/1000 Mbps นอกจากหน่วยงานที่ต้องการความเร็วสูงๆจริงๆ ถึงจะใช้ 1 Gbps และ 10 Gbps
แต่ผมขอแนะนำให้ใช้เป็นสาย CAT6 จะดีกว่าครับเพื่อจะได้รองรับความเร็ว 10 Gbps ด้วย

สายใยแก้วนำแสง (Fiber Optic Cable)

     เป็นตัวกลางของสัญญาณแสงชนิดหนึ่ง ที่ทำมาจากแก้วซึ่งมีความบริสุทธิ์สูงมาก สายใยแก้วนำแสงมีลักษณะเป็นเส้นยาวขนาดเล็ก มีขนาดประมาณเส้นผมของมนุษย์เรา สายใยแก้วนำแสงที่ดีต้องสามารถนำสัญญาณแสงจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งได้ โดยมีการสูญเสียของสัญญาณแสงน้อยมาก สายใยแก้วนำแสงสามารถแบ่งตามความสามารถในการนำแสงออกได้เป็น 2 ชนิด คือ



          - สายใยแก้วนำแสงชนิด ซิงเกิลโหมด (Fiber Optic Single Mode) เป็นการใช้ตัวนำแสงที่บีบลำแสงให้พุ่งตรงไปตามท่อแก้ว โดยมีการกระจายแสงออกทางด้านข้างน้อยที่สุด ซิงเกิลโหมดจึงเป็นสายใยแก้วนำแสงที่มีกำลังสูญเสียทางแสงน้อยที่สุด เหมาะสำหรับในการใช้กับระยะทางไกล ๆ การเดินสายใยแก้วนำแสงกับระยะทางไกลมาก เช่น เดินทางระหว่างประเทศ ระหว่างเมือง มักใช้แบบซิงเกิลโหมด
          - สายใยแก้วนำแสงชนิด มัลติโหมด (Fiber Optic Multi Mode) เป็นสายใยแก้วนำแสงที่มีลักษณะการกระจายแสงออกด้านข้างได้ ดังนั้นจึงต้องสร้างให้มีดัชนีหักเหของแสงกับอุปกรณ์ฉาบผิวที่สัมผัสกับเคล็ดดิงให้สะท้อนกลับหมด การให้ดัชนีหักเหของแสงมีลักษณะทำให้แสงเลี้ยวเบนทีละน้อยเราเรียกว่าแบบเกรดอินเด็กซ์ (Grade Index) และการให้แสงสะท้อนโดยไม่ปรับคุณสมบัติของแท่งแก้วให้แสงค่อยเลี้ยวเบนก็เรียกว่าแบบ สเต็ปอินเด็กซ์ (Step Index) สายใยแก้วนำแสงที่ใช้ในเครือข่ายแลน ส่วนใหญ่ใช้แบบมัลติโหมด โดยเป็นขนาด 62.5/125หรือ 50/125 ไมโครเมตร หมายถึงเส้นผ่าศูนย์กลางของท่อแก้ว 62.5 ไมโครเมตรหรือ 50ไมโครเมตร และแคล็ดดิงรวมท่อแก้ว 125 ไมโครเมตร คุณสมบัติของสายใยแก้วนำแสงแบบสแต็ปอินเด็กซ์มีการสูญเสียสูงกว่าแบบเกรดอินเด็กซ์ ซึ่งในปัจจุบันนิยมใช้สายใยแก้วนำแสงชนิด Multi-mode Grade Index

*********************************************************************************

     ผมแนะนำแค่ 2 ชนิดนี้แล้วกันเพราะใช้กันมากในปัจจุบัน เดี๋ยวว่างๆ จะหาข้อมูลแบบเจาะลึกของแต่ละชนิดเลยครับ ติดไว้ก่อนนะ ^_^


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น